โรคปริทันต์
โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า โรคเหงือกอักเสบ
แต่จริงๆแล้ว โรคปริทันต์
มิได้มีการอักเสบเกิดขึ้นแค่ที่เหงือกเท่านั้น แต่เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับอวัยวะรอบๆฟัน อันได้แก่ เหงือก, กระดูกเบ้าฟัน, เอ็นยึดปริทันต์ และ ผิวรากฟัน |
|||||||||||||||
สาเหตุของโรคปริทันต์
สาเหตุเบื้องต้น คือ
เชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่มีอยู่ในช่องปากซึ่งเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นในสภาวะ
ที่เหมาะสม กล่าวคือการมีคราบอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่เกาะบนผิวฟัน และจากการที่เรา ทำความสะอาดฟันไม่ดีพอ ทำให้คราบอาหารเหล่านี้กลายเป็นอาหารของแบคทีเรีย ทำให้ แบคทีเรียเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนขึ้นแผ่กระจายไปบนผิวฟัน ที่เราเรียกกันว่า แผ่นคราบจุลินทรีย์ แบคทีเรียพวกนี้เมื่อมีการบริโภคอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลเข้าไปจะปล่อยกรดและสารพิษออกมา เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ ผลคือทำให้เหงือกบวมแดงอักเสบและมีเลือดออก ทำให้เกิดการทำลายอวัยวะปริทันต์ แผ่นคราบจุลินทรีย์ไม่เพียงแต่จะมีแค่ส่วนตัวฟันที่อยู่ เหนือขอบเหงือกเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในส่วนใต้ขอบเหงือกที่เรามองไม่เห็น ส่วนนี้เองที่ทำให้เกิดโรคปริทันต์ลงสู่กระดูกเบ้าฟัน ผลคือทำให้กระดูกเบ้าฟันละลาย ทำให้ล่องเหงือกลึกลงไปเรื่อยๆ ทำให้ฟันไม่ยึดติดกับเหงือกและก่อให้เกิดหนองในร่องปริทันต์ ทำให้รู้สึกเจ็บเหงือกและอาจมีอาการปวดเมื่อเคาะที่ตัวฟันและฟันโยกได้ ถ้าปล่อยทิ้งไว้เหงือกและกระดูกเบ้าฟันจะถูกทำลายลงเรื่อยๆจนในที่สุดก็อาจจะต้องสูญเสียฟันซี่นั้นไป เนื่องจากสูญเสียอวัยวะรอบฟันที่ช่วยในการยึดเกาะฟันไว้กับขากรรไกร
|
|||||||||||||||
การรักษาโรคเหงือกควรจะรีบทำการรักษาในทันทีที่มีการตรวจพบว่าเป็นโรคเหงือก
เพราะหากปล่อยไว้จะทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น หากพบอาการของโรคเหงือก
ควรจะเข้าพบทันตแพทย์ หรือทันตแพทย์เฉพาะทาง
เพื่อที่จะทำการรักษาแต่เนิ่น ๆ เพราะหากปล่อยไว้ โรคเหงือก
จะทำให้สูญเสียฟันได้
|
|||||||||||||||
|
|||||||||||||||
สรุปขั้นตอนการรักษา
1. การรักษาจะต้องมีการขูดหินปูน และเกลารากฟัน (root planing) ร่วมด้วย โดยจะขูดหินปูนทั้นบนตัวฟันและส่วนที่อยู่บนผิวรากฟันภายในร่องปริทันต์ ส่วนการเกลารากฟันคือการทำให้ผิวรากฟันเรียบเพื่อให้เนื้อเยื่อเหงือกสามารถกลับมายึดแน่นติดกับผิวฟันได้เหมือนเดิม ซึ่งขั้นตอนนี้จะต้องทำซ้ำหลายๆครั้ง 2. หลังจากรักษาเสร็จแล้วประมาณ 4-6 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะเรียกกลับมาดูอาการอีกครั้งว่า หายดีหรือไม่ ถ้ายังมีร่องลึกปริทันต์เหลืออยู่หรือมีการละลายของกระดูกไปมาก อาจจำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดเหงือก (ศัลย์ปริทันต์ : Periodontal Surgery) ร่วมด้วย 3. ท่านจะต้องทำความสะอาดฟันและซอกฟันอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอด้วยตนเอง อย่างน้อยจะต้องใช้แปรงและไหมขัดฟันทุกวัน เพื่อที่จะกำจัดคราบจุลินทรีย์ให้หมดทุกวัน 4. ไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจดูว่ามีคราบจุลินทรีย์และหินปูนหลงเหลือจากการทำความสะอาดเองหรือไม่ เพื่อที่จะได้รับการรักษาในระยะแรก
หากในคนไข้ที่เป็นโรคเหงือกมาก ๆ ก็อาจจำเป็นต้องพบทันตแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการเกลารากฟัน
เพื่อขจัดคราบจุลินทรีย์ และหินปูนที่บริเวณตัวฟัน และผิวรากฟัน
การขูดเหงือกเป็นการกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อที่ช่องเหงือก
การขูดหินปูน และการขูดเหงือกเป็นการใส่ใจดูแลสุขภาพช่องปากอย่างจริง
ก็จะเพียงพอต่อการควบคุมโรค แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
สำหรับคนไข้ที่เป็นโรคเหงือกมาก ๆ การขูดหินปูนและการขูดเหงือก
อาจจะไม่ได้ผล ซึ่งในลักษณะนี้ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ทำการผ่าตัด
ซึ่งระหว่างการผ่าตัดนี้ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัดจะทำการยกเหงือกเพื่อที่จะดูการลุกลามไปที่รากหรือกระดูก
คราบจุลินทรีย์และหินปูนที่ได้ทำการขจัดออกจากบริเวณและจากกระดูกฟัน
จากนั้นนำเหงือกกลับสู่ตำแหน่งที่เหมาะสมที่เหมาะแก่การทำความสะอาดหลังการรักษา
เมื่อมีการเปิดเหงือก และกระดูกมีการสูญเสียไป บางครั้งคนไข้ต้องรักษาโดยการปลูกกระดูก
ซึ่งการปลูกกระดูกนี้เป็นการสร้างกระดูกจากไขกระดูกในปากของเราเอง
หรือจากกระดูกเทียม ซึ่งในขั้นตอนนี้ จะทำการนัดคนไข้ ประมาณ 2-3 ครั้ง
แต่ในบางกรรีก็สามารถเสร็จได้ภายในครั้งเดียว ในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีอุปกรณ์ครบครัน
|
|||||||||||||||
|
|||||||||||||||
การรักษาโรคเหงือกควรจะรีบทำการรักษาในทันทีที่มีการตรวจพบว่าเป็นโรคเหงือก
เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จะทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น
หากพบอาการของโรคเหงือกควรเข้าพบทันตแพทย์ หรือทันตแพทย์เฉพาะทาง
เพื่อที่จะทำการรักษาแต่เนิ่น ๆ เพราะหากปล่อยไว้
โรคเหงือกอาจทำให้สูญเสียฟันได้
|
วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556
มารู้จัก...โรคปริทันต์ (Periodontal Disease) หรือ โรคเหงือกอักเสบ
วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556
แก้เคล็ด ปีชง2556 ปีชงปีมะเส็ง(งูเห่าน้ำ) ปีชง2556
แก้เคล็ด ปีชง2556 ปีชงปีมะเส็ง(งูเห่าน้ำ) ปีชง2556
ภูมิปัญญาจีนโบราณ ได้เผยแพร่ความเชื่อเรื่อง เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา หรือ องค์ไท้ส่วย มา นานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลัทธิเต๋า ที่มักพบว่ามีรูปปั้นของ องค์ไท้ส่วยทั้ง 60 รูปประทับอยู่เพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปได้สักการบูชาในทุกๆอาราม แต่ละปี องค์ไท้ส่วย จะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปทุกๆปีอย่างไม่มีวันสิ้นสุด หรือที่เรียกว่า “เฝ้าปี” เพื่อทำหน้าที่ปกปักรักษาคุ้มครองดวงปี โดยใช้หลักโหรราศาสตร์จีน โป้ยหยี่สี่เถี่ยว มาเป็นเกณฑ์ และแต่ละองค์ก็จะมีชื่อให้เรียกขานแตกต่างกัน
ชาวจีนโดยทั่วไปเชื่อว่า เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต ดังนั้นการกราบไหว้บูชา เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา หรือ องค์ไท้ส่วย ทุกๆ ปี ก็เป็นการเสริมดวงชะตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกิดปีชง ควรกราบไหว้เพื่อวิงวอนให้องค์ไท้ส่วยคุ้มครองดวงชะตา เสมือนเป็นการฝากดวง เพื่อสะเดาะเคราะห์ ช่วยให้ร้ายกลายเป็นดี จากหนักกลายเป็นเบา นอกจากนี้ ผู้ใดที่เกิดปีร่วมชงไท้ส่วย ,ปีทับไท้ส่วย,ปีเฮ้งไท้ส่วย,ปีไห่ไท้ส่วยและสุดท้ายคือปีผั่วไท้ส่วย ก็ล้วนอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องกราบไหว้องค์ไท้ส่วย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง หากดวงดีอยู่แล้วก็ให้ดวงดียิ่งขึ้น หากดวงตกก็ตกไม่ถึงศูนย์
องค์ไท้ส่วยที่รับหน้าที่เฝ้าปีในปีพ.ศ. 2556 นี้ ปีมะเส็ง ตามปีใน 12 นักษัตร มีพระนามว่า ขุนพลฉื่อตัวไต่เจียงกุง (สี ตันต้าเจียงจวิน) เทพคุ้มครองดวงชาตาประจำปีกุ่ยจี๋ หรือ ปี 2556 มีอีกนามหนึ่งว่าสีกัน เกิดในสมัยราชวงศ์ฮั่น (คศ.25-220) ณ เมืองส่านตี้ผิงลู่ (ปัจจุบันคือทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเสียนหยาง มณฑลซ่านซี) ศึกษาวิชาบู๊แต่ยังเล็ก ท่านขุนพลสีตันเป็นผู้ที่มีจิตใจห้าวหาญและเด็ดเดี่ยว มีความเชี่ยวชาญในการทำศึก เคยเป็นผู้นำทัพชนะการโจมตีฝ่ายพันเชา และพันเฉิง ตลอดจนโจมตีเมืองอู่ชุนจนแตกพ่าย และในที่สุดท่านก็เป็นผู้สร้างสันติภาพในเขตซีอิ้ว (ปัจจุบันคือมณฑลซินเกียง, ด่านอวี้เหมินกวน) ให้มีความสงบร่มเย็น
ปีที่นับเป็นปีกุ่ยจี๋ หรือปี พ.ศ. 2496, 2556, 2616
- คนเกิดปีกุน (ปีหมู) เป็น ปีชงปี2556 เป็นปีปะทะ ปีชง 100%
คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ คนที่เกิด ปี2490(อายุ 66ปี) ปี2514(อายุ 42ปี) ปี2550(อายุ 6ปี)
- คนเกิดปีมะเส็ง (ปีงูเล็ก) เป็น ปีชงปี2556 เป็นปีทับไท้ส่วย และเป็น คัก กับปีมะเส็ง
คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ คนที่เกิด ปี2472(อายุ 84ปี) ปี2532(อายุ 24ปี)
- คนเกิดปีขาล (ปีเสือ) ปีชง2556 ปีร่วมชงไท้ส่วย เป็นปี เฮ้ง หรือปีเบียดเบียน และเป็นปี ไห่ คือปีให้ร้าย กับปีมะเส็ง
คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ คนที่เกิด ปี2481(อายุ 75ปี) ปี2505(อายุ 51ปี) ปี2541(อายุ 15ปี)
- คนเกิดปีวอก (ปีลิง) เป็น ปีชงปี2556 ปีร่วมชงไท้ส่วย เป็นปี ผั่ว หรือ ปีแตกแยก
คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ คนที่เกิด ปี2463(อายุ 93ปี) ปี2523(อายุ 33ปี)
ปีชง2556 คนที่เกิดปี กุน คือ ปีชงกับปีมะเส็งและถือเป็นอริ ปะทะโดยตรงกับ องค์ไท้ส่วย อาจ มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีอย่างรุนแรง เป็นดวงอริ พิฆาตดวงชะตา จึงไม่ควรใช้ชีวิตด้วยความประมาท เป็นไปได้สูงที่จะต้องสูญเสียของรักหรือผิดหวังอย่างรุนแรง ไม่เช่นนั้นก็ให้ระวังกระทบกระทั่งกับคนใกล้ตัวและบริวาร นอกจากจะต้องไปกราบไหว้ขอพรฝากดวงชะตาต่อองค์ไท้ส่วยแล้ว ก็ควรหารูปขององค์ไท้ส่วยประจำปีเกิดของตนมาบูชาหรือพกพาติดตัว ไม่เช่นนั้นก็ควรนำเครื่องรางของปีนักษัตร ขาล,เถาะหรือมะแม มาพกติดตัวเพื่อช่วยปัดเป่าภัยอันตรายให้พ้นตัว
ปีชง2556 คนที่เกิดปี มะเส็ง คือ ปีทับไท้ส่วย ดวง ชะตาปี2556 มีแนวโน้มที่จะพบกับอุปสรรคหรือความล้มเหลว หากใช้ชีวิตโดยประมาทขาดความรอบคอบ มักจะได้รับความเดือดร้อนอย่างที่สุด เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบบานปลาย สิ่งที่คิดหวังไว้อาจหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย นอกจากจะต้องไปกราบไหว้ขอพรฝากดวงชะตาต่อองค์ไท้ส่วยแล้ว ก็ควรหารูปขององค์ไท้ส่วยประจำปีเกิดของตนมาบูชาหรือพกพาติดตัว ไม่เช่นนั้นก็ควรนำเครื่องรางของปีนักษัตร ฉลู, วอกหรือระกา มาพกติดตัวเพื่อช่วยเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้น
ปีชง2556 คนที่เกิดปีขาล คือปี ร่วมชงไท้ส่วย ให้ผลเบียดเบียนและให้ร้าย กับปีมะเส็ง มักเกิดผลเสียเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ถูกหลอกลวงให้เสียเงินเสียเวลาหรือถูกทำลายชื่อเสียง ระวังความไม่ปรองดองกันของคนในครอบครัว,ญาติพี่น้องและเรื่องของสุขภาพ นอกจากจะต้องไปกราบไหว้ขอพรฝากดวงชะตาต่อองค์ไท้ส่วยแล้ว ก็ควรหารูปขององค์ไท้ส่วยประจำปีเกิดของตนมาบูชาหรือพกพาติดตัว ไม่เช่นนั้นก็ควรนำเครื่องรางของปีนักษัตร มะเมีย,จอหรือกุน มาพกติดตัวเพื่อช่วยบรรเทาอุปสรรคต่างๆให้ลดน้อยลง
ปีชง2556 คนที่เกิดวอก คือ ปี ร่วมชงไท้ส่วยอีก ปีหนึ่งเช่นกัน ให้ผลแตกแยกกับปีมะเส็งอีกทั้งยังเบียดเบียนกับปีมะเส็ง จึงมักประสบกับปัญหา ผิดหวังซ้ำซาก ติดขัดหลายเรื่อง นอกจากชีวิตจะไม่ค่อยราบรื่นแล้ว ยังต้องพบเจอเรื่องลำบากใจ เสียของรัก ผลประโยชน์ที่ควรได้หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา อาจมีปัญหาทั้งหนัก เบาและเป็นๆหายๆ ตลอดทั้งปี นอกจากจะต้องไปกราบไหว้ขอพรฝากดวงชะตาต่อองค์ไท้ส่วยแล้ว ก็ควรหารูปขององค์ไท้ส่วยประจำปีเกิดของตนมาบูชาหรือพกพาติดตัว ไม่เช่นนั้นก็ควรนำเครื่องรางของปีนักษัตร ชวด ,มะโรงหรือมะเส็ง มาพกติดตัวเพื่อกระตุ้นให้สิ่งดีๆ รวมถึงโชคลาภหมุนเวียนเข้ามาหา
ที่มา
http://free.horoworld.com/
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2555
เคยกันมั้ยคะ กับอาการ "ปวดฟัน"
ถ้าใครไม่เคยก็คงไม่รู้ซึ้งถึงความทรมานของการปวดฟัน
ทรมานแค่ไหน..บางคนปวดมากจนนอนไม่หลับ
บางคนทำงานไม่ได้เลย เพราะไม่มีสมาธิ
อาการปวดฟันเกิดจากอะไร?
เกิดจากมีการอักเสบในโพรงประสาทฟันค่ะ
แต่เนื่องจากฟันของเราแข็งและมีลักษณะปิดทึบ
เวลาที่เกิดการอักเสบ มีการขยายตัวของหลอดเลือด
(นึกถึงเวลาเราขาบวม ขาซ้นน่ะค่ะ)
มันก็ไม่มีทางออก เหมือนถูกขังอยู่ในห้องแคบๆ
ความปวดจึงเพิ่มมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นค่ะ
ถ้าปวดแล้วจะทำยังไงดี?
วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ไปหาหมอฟันค่ะ
(ตอบกำปั้นทุบดินมั้ยคะ)
เพราะหมอจะบอกได้ถึงต้นตอของสาเหตุ
ถ้าต้องถอนก็จะได้ถอนออก
ถ้าอยากเก็บฟันนั้นไว้และสามารถเก็บได้
ก็จะได้ทำการเปิดรักษารากฟันซึ่งจะช่วยลดอาการปวดได้
แต่...แน่นอนล่ะค่ะที่เพื่อนๆบางคนไม่สะดวกไปหาหมอฟัน
ด้วยหลายๆเหตุผล(ที่ไม่ขอบรรยายเพราะคงมีเยอะมาก)
วันนี้ก็เลยมีวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดฟันมาฝาก
1.ยาแก้ปวด
--> มีหลายชนิดด้วยกัน ที่แนะนำคือ
Paracetamol 500 mg. ทานครั้งละ 2 เม็ด ห่างกันทุก 4 ชม.
ทานติดต่อกันนะคะ คือทานทุก 4 ชม.เลย ไม่ต้องรอให้ปวดซ้ำ แต่ห้ามทานติดต่อกันนานเกิน 7 วัน เพราะอันตรายต่อตับค่ะ
Ibuprofen หรือ Brufen 400 mg. 1 เม็ด หลังอาหารเช้า กลางวัน เย็น
สามารถทานร่วมกับ Para ได้เพราะช่วยเสริมฤทธิ์กัน แต่ต้องระวังเพราะกัดกระเพาะ ไม่ควรทานตอนท้องว่างค่ะ
2.การใส่ยาแก้ปวดฟัน
--> เพื่อนๆอาจเคยเห็นยาขวดเล็กๆที่ขายตามร้านขายยา
เขียนว่าใช่ใส่แก้ปวดฟัน จริงๆมันเป็นเหมือนยาเถื่อนน่ะค่ะ
แต่ถ้าเลือกให้ดี มันก็ช่วยได้ค่ะ
ถ้าอยากใช้ ต้องใช้อย่างถูกวิธีและเลือกซื้อดีๆค่ะ
ให้เลือกอ่านว่ามีตัวยาเหล่านี้หรือเปล่าค่ะ
- clove oil (น้ำมันกานพลู)
- ยาชา (Lidocaine, Xylocaine)
ถ้ามี 2 ตัวนี้ ตัวใดตัวหนึ่งมันอาจช่วยคุณได้ค่ะ
เพราะเป็นยาที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความชา
ดังนั้น อาการปวดฟันก็จะทุเลาขึ้นค่ะ
วิธีใช้ ให้ใช้สำลีสะอาดๆปั้นเป็นก้อนเล็กๆ
ขนาดเท่าหัวไม้ขีดไฟ
ชุบน้ำยาที่ว่า แล้วใส่ลงไปในรูฟันที่ปวดค่ะ
(เพราะฉนั้น ถ้าใครปวดฟัน
แต่ไม่มีรูที่ซี่ฟันก็จะหมดสิทธิ์นะคะ)
ใส่ไว้แล้วอย่าลืมไปหาหมอฟัน
เพื่อรักษาต่อนะคะ ทิ้งไว้นานๆเดี๋ยวเน่าค่ะ
3.ห้าม!!!
--> เอาสำลีก้อนใหญ่ๆชุบ
ยาแก้ปวด / ยาผีบอก / หรือน้ำยาใดๆทั้งสิ้น
(อ้อ ยาหม่องก็ห้ามนะคะ) ไปวางแหมะไว้แถวเหงือกตรงฟันซี่ปวด
เพราะนอกจากจะไม่หายปวดแล้ว เ
หงือกแถวนั้นจะไหม้เพราะยาที่เอาไปโปะไว้นั่นแหละค่ะ รักษากันอีกเป็นสัปดาห์กว่าจะหาย
แถมดีไม่ดีจะกลายเป็นมะเร็งในอนาคตได้นะคะ
4.ยาแก้อักเสบ
--> Amoxicillin 500 mg. 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร
--> Rulid 150 mg. 1 เม็ด เช้า-เย็น ถ้าแพ้กลุ่มแรก
ที่สำคัญต้องทานสม่ำเสมออย่างน้อย 3-5 วัน
เพื่อป้องกันการดื้อยา และเพื่อผลที่ดีของยาค่ะ
เวลาซื้อต้องปรึกษาเภสัชกรด้วยนะคะ
5.อมบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ
หลังแปรงฟันทุกครั้งค่ะ
จะช่วยให้อาการอักเสบลดลงเล็กน้อยค่ะ
6. ประคบน้ำแข็งที่แก้มข้างที่ปวดค่ะ
(ไม่ใช่อมน้ำแข็งนะคะ ทำอย่างนั้นยิ่งปวดไปใหญ่ค่ะ)
7.ถ้าภายใน 2 - 3 วันอาการไม่ดีขึ้น
รู้สึกหน้าบวม อ้าปากได้น้อยลง กลืนน้ำลายเจ็บคอ
รีบไปหาหมอด่วนค่ะ เพราะนั่นแสดงว่าอาการติดเชื้อลุกลามออกจากฟันไปที่เนื้อเยื่อของใบหน้าแล้ว
อันตรายมากค่ะ มีคนเสียชีวิตมาแล้วนะคะ
อ้อ..และเมื่อหายปวดแล้ว อย่าปล่อยทิ้งไว้
เพราะคิดว่าไม่ปวดก็ไม่ต้องทำอะไร
มันคือ ระเบิดเวลาค่ะ ปวดแล้วก็ปวดได้อีก
ดีไม่ดีหน้าจะบวมเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นเสียชีวิตได้นะคะ
ไม่ก็ต้องไปเสียเงินนอนโรงพยาบาล
เพราะติดเชื้อขั้นรุนแรงอีกค่ะ
เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายนะคะ
วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ฟันผุ...คืออะไร ใครอยากรู้!!! มาดูกัน
ฟันผุ
ฟันผุ
ฟันของคนเราปรกติจะมีการ demineralization เป็นการที่แร่ฐาตุของผิวฟันถูกขับออก และมี remineralizatio หรือขบวนการเติมแร่ฐาตุให้กับผิวฟันโดยแร่ฐาตุที่อยู่ในน้ำลาย หากขบวนการเติมแร่มากกว่าขบวนการขับออกฟันฟันจะปรกติ
เมื่อขบวนการละลายแร่ฐาตุมากกว่าขบวนการสร้างก็จะเกิด ฟันผุ ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะเชื้อ Streptococcus mutan และ Lactobasillus ย่อยอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต์ทำให้เกิดกรดซึ่งจะทำลายผิวเคลือบฟัน ในรายที่เริมเป็นจะเห็นเป็นสีขาวขุ่นเล็กๆที่ผิวฟัน ในระยะนี้หากตรวจพบ และรักษาสุขอนามัยก็จะทำให้ผิวฟันกลับปกติ หากยังมาการละลายของผิวฟันต่อไปอีกก็จะกลายเป็นสีน้ำตาลซึ่งหากยังไม่เป็ร ูก็ยังสามารถกลับคืนสู่ปรกติได้ หากกลายเป็นรูก็จะคงรูปตลอด และหากไม่รักษาก็จะมีอาการปวดฟันจนกระทั่งฟันร่วง
ฟันพุต้องมีอาการปวดฟันหรือไม่
หากฟันผุเริ่มเป็นและมีการละลายผิวฟันชั้น Enamel
หรือชั้น Dentin จะไม่มีอาการปวดจะเห็นเป็นรอยขาวหรืออาจจะออกสีน้ำตาล
เมื่อฟันผุลงลึกถึงชั้น Pulp
ซึ่งกดดูจะนิ่มถึงตอนนั้นจะมีการเสียวฟันเวลารับประทานของร้อยหรือเย็น
และหากลามไปถึงรากฟันก็จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน บางรายจะมาด้วยมีกลิ่นปาก
สาเหตุของฟันผุมีอะไรบ้าง
ปัจจัยที่จะทำให้เกิดฟันผุจะมีอยู่ 4 สาเหตุ จากฟัน แบคทีเรีย อาหาร และระยะเวลาสาเหตุจากฟัน
มีโรคฟันบางประเภทที่มีเกลือแร่ที่เนื้อฟันน้อยทำให้ เกิดฟันผุได้ง่าย นอกจากนั้นผู้ที่มีร่องบนฟันมากหรือลึกก็จะเกิดฟันผุได้ง่าย และผู้ที่เป็นโรคเหงือกมีเหงือกร่นทำให้่วน Dentinสัมผัสสภาพในฟัน Dentin จะมีเกลือแร่เป็นองค์ประกอบน้อยกว่าผิวฟันซึ่งในสภาพปากปกติก็ทำให้เกิดฟัน ผุได้(ผิวฟันปรกติจะต้องมีpH<5.5จึงจะเกิดฟันผุ)
เชื้อแบคทีเรีย
ผู้ที่มีเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวข้องต้นหากมีมากที่คราบหินปูนหรือที่ร่องฟันมากก็จะทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย
ที่มา http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/oral/decay.html
วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555
อิสราเอล..วิจัยเห็ดนางฟ้ารักษามะเร็ง
นักวิจัยอิสราเอลค้นพบสารสกัดเห็ดนางฟ้า สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งในห้องปฏิบัติการได้ผล เตรียมหาทุนทำวิจัยรักษาในมนุษย์
ศาสตราจารย์ เบ็ตตี้ ชวอร์ทซ์ (Betty Schwartz) นักวิจัยจากสถาบันชีวเคมี ที่มหาวิทยาลัยฮิบรูแห่งเยรูซาเลม ได้นำสารสกัดเคมีชื่อ อัลฟ่ากลูแคน ในเห็ดนางฟ้า มาทดลองกับเซลล์มนุษย์ และเซลล์หนู ในห้องปฏิบัติการ พบ ว่ามันสามารถทำให้โมเลกุลของเซลล์มะเร็งจับตัวเป็นก้อนและตาย ขณะเดียวกันก็มีฤทธิยับยั้งเซลล์มะเร็งไม่ให้ผนึกตัวเองเข้ากับเส้นเลือดใน ลำไส้ ส่งผลให้เซลล์มะเร็งไม่สามารถกระจายไปยังตำแหน่งอื่นๆ พร้อมกันนี้อัลฟ่ากลูแคน ยังช่วยลดการอักเสบ ซึ่งมีความสำคัญต่อกระบวนการเยียวยาฟื้นฟูร่างกายอีกด้วย
ชวอร์ทซ์ เชื่อว่า เห็ดนางฟ้าซึ่งสามารถหาซื้อได้ทั่วไป จะเป็นอาวุธสำคัญที่ใช้สู้มะเร็งชนิดต่างๆ โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ และหวังว่าจะมีผู้ให้ทุนทำการวิจัยรักษามะเร็งจริงๆ ปัจจุบันมีผู้ป่วยมะเร็งลำไส้เพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกพบว่า ในปี 2551 มีผู้ป่วยมะเร็งลำไส้มากถึง 1.23 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิต 6 แสน 8 พันคน
อย่าง ไรก็ตาม ศาสตราจารย์คีท โจนส์ แห่งสถาบันวิจัยมะเร็งของอังกฤษ ออกมาเตือนว่าอย่าตั้งความหวังกับเห็ดนางฟ้ามากเกินไป เผยยังมีสารธรรมชาติจากอาหารอีกหลายชนิด ที่นักวิจัยพบว่ามีสรรพคุณยับยั้งเซลล์มะเร็งได้เช่น แต่ยังต้องศึกษาวิจัยอีกนานกว่าจะผลิตเป็นยารักษามะเร็งได้จริง
วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555
น้ำแ็ข็ง.....ทำให้หน้าสวยใสจริงหรือมั่ว ....ชัวร์หรือไม่
น้ำแข็ง ก็ช่วยให้ผิวหน้าคุณผู้หญิงสวยได้นะ | |||
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)